พระราชดำรัส
“…..เมื่อกาลผ่านมา 10 ปี ความเปลี่ยนแปลงของประเทศมีมากขึ้นอย่างที่เราเห็นได้ชัด ๆ ที่เห็นเป็นตัวเลข อาจจะดูง่าย ๆ เช่น เรื่องเศรษฐกิจ การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ การเจริญขึ้นของธุรกิจ เป็นต้น ถึงแม้ว่าแหล่งปฏิบัติงานของเราจะอยู่ไกล แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่ใช่เป็นผลกระทบที่ไม่ดีเสมอไป เป็นผลกระทบทั้งดีและไม่ดี จึงเป็นเหตุให้คิดว่า จะมีอะไรทำเพิ่มเติมในส่วนของเราได้ กับบุคคลในความอารักขาดูแลของเรา คือด้านของความรู้ความสามารถ การศึกษา เมื่อบ้านเมืองเจริญก้าวหน้ามากขึ้นก็เป็นโอกาสให้บุคคลต่าง ๆ ได้สามารถพัฒนาตัวเอง และสร้างฐานะให้ดียิ่งขึ้น บ้านเมือง เหตุการณ์เปิดโอกาสให้มีความก้าวหน้า แต่เราต้องกลับมาย้อนคิดดูว่าบุคคลในความอารักขาของเรานั้น สามารถที่จะพัฒนาก้าวหน้าไปตามโอกาสที่เปิดให้หรือเปล่า ยกตัวอย่าง เช่น ตอนนี้มีการขยายทางด้านการงานขึ้นหลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ อาชีพ คนของเราพร้อมหรือยังที่จะสร้างฐานะที่มั่งคง มั่งคั่งขึ้นจากโอกาสหรือตำแหน่งงานที่เปิดขึ้น หรือว่าจะกลายเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบในทางเสีย คือเสียโอกาสต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เคยอยู่อย่างสงบในหมู่บ้านของตัวเอง ทำงานไป ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ที่ดินต่าง ๆ อาจหลุดมือไป หรือว่าอาจจะมีคนที่เขาอยู่ในระบบที่ใหม่กว่าเข้ามาใช้อิทธิพลบางประการ คนของเราพร้อมหรือยัง …..ส่วนนักเรียนอีกส่วนหนึ่งนั้น เราที่ทำงานอยู่ก็คงจะรู้จักเด็กและเห็นได้ชัด ๆ ว่าบุคคล หรือเด็กเหล่านี้
จะเป็นด้วยสติปัญญาและการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เล็กมาก็ตาม ฐานะทางเศรษฐกิจหรือว่าฐานะทางการเมืองและสังคมไม่เปิดโอกาสแน่ ๆ ให้เขาได้ไปศึกษาต่อในระดับมัธยม หรืออย่างน้อยในช่วงนี้ไม่ทันกาล ก็อยากให้อะไรกับเขา เป็นส่วนเพิ่มเติมเข้ามา แม้อาจจะเล็กน้อย แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือเรื่องของการฝึกฝนให้กระทำอาชีพได้…..”
พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ซึ่งยังดำรงพระยศในขณะนั้น) เนื่องในโอกาสทรงเป็นประธานปิดการประชุมสัมมนาครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2533